ผู้เชี่ยวชาญด้านการย้ายถิ่นฐานและความมั่งคั่ง มองว่าแนวนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เปิดตัวโครงการวีซ่า “บัตรทอง” มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 168 ล้านบาท ไม่น่าจะกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติผู้มั่งคั่งที่หาหนทางได้สัญชาติอเมริกันเข้ามาได้มาก เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีที่สูงขึ้น
เมื่อวันอังคาร ทรัมป์ มีแผนการออกบัตรทอง (gold card) ที่จะเปิดทางการได้สัญชาติอเมริกันของชาวต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในอเมริกา เพื่อแทนที่โครงการวีซ่านักลงทุน EB-5 ที่ให้ผู้อพยพต่างชาติเข้ามาลงทุนในอเมริกาด้วยเงินทุนอย่างน้อย 800,000 ดอลลาร์ เพื่อแลกกับการได้เป็นผู้พำนักถาวรในสหรัฐฯ หรือ กรีนการ์ด ที่มีอยู่เดิม
ทรัมป์ ระบุว่า รายละเอียดของแนวนโยบายใหม่นี้จะออกมาในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
ในมุมมองของบาสซิม ไฮดาร์ อดีตมหาเศรษฐีชาวอังกฤษที่ไม่ได้พำนักอยู่ในอังกฤษ กล่าวกับรอยเตอร์ว่า “ผมไม่เชื่อว่าข้อเสนอของปธน.สหรัฐฯ จะให้ผลมากนัก เพราะการได้กรีนการ์ดในสหรัฐฯ หากคุณมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขของประเภทวีซ่าที่ขอ มันไม่ใช่เรื่องยากเลย” และว่า “การจ่ายเงิน 5 ล้านดอลลาร์เพื่อวีซ่าบัตรทองเพื่อแลกกับการจ่ายภาษีเงินได้ที่สูงเป็นสิ่งที่ผิดวัตถุประสงค์”
แผนการของทรัมป์ มาในช่วงเวลาที่สหภาพยุโรปกำลังกดดันประเทศสมาชิกให้ยกเลิกหรือมีมาตรการที่เข้มงวดกับโครงการให้สิทธิ์เป็นผู้พำนักถาวรของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากส่งผลดีของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ไม่มากนัก ในขณะทีอาจทำให้เกิดปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ และเสี่ยงที่นักลงทุนกลุ่มนี้จะกระทำการทุจริตและเลี่ยงภาษี
การศึกษาเรื่องวีซ่าทองของอียู เมื่อปี 2021 โดยนักวิจัยจาก London School of Economics and Political Science และ Harvard University พบว่า เงินทุนที่ได้จากโครงการดังกล่าวมีสัดส่วนที่ “เล็กน้อยมาก” ในการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ โดยที่ให้ผลต่อเศรษฐกิจ “ไม่มากนัก”
จอหน์ หู ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐาน John Hu Migration Consulting ในฮ่องกง ให้ทัศนะกับรอยเตอร์ว่า ในกรณีของสหรัฐฯ โครงการวีซ่านักลงทุน EB-5 ใช้กันในหมู่ผู้อพยพชาวฮ่องกงและจีน ที่มีธุรกิจในอเมริกา หรือต้องการให้บุตรหลานมีโอกาสมาศึกษาต่อในสหรัฐฯ และการปรับขึ้นมูลค่าการลงทุนเป็น 5 ล้านดอลลาร์จะเป็นอุปสรรคต่อพลเมืองจีนจำนวนมากที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว
หู กล่าวว่า หากเปลี่ยนจาก EB-5 เป็นบัตรทองจริง “จำนวนผู้สมัครโครงการวีซ่า จะมีสัดส่วนลดลง” เพราะภาระภาษีเป็นสิ่งที่คนรวยกังวลอยู่เสมอ
ทรัมป์ กล่าวว่า โครงการบัตรทอง จะเปิดให้กับคนร่ำรวย อย่างเช่น กลุ่มชนชั้นนำของรัสเซีย เข้ามาสมัครวีซ่านี้
ทั้งนี้ โครงการวีซ่านักลงทุน EB-5 เกิดขึ้นโดยการผลักดันของสภาสหรัฐฯ เมื่อปี 1990 และทำผ่านสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติของสหรัฐฯ (USCIS) เพื่อ “กระตุ้นเศรษฐกิจอเมริกาผ่านการสร้างงานและการลงทุนโดยนักลงทุนต่างชาติ” อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ USCIS
แต่คิม จี ซุน ประธานบริษัทกฎหมายคนเข้าเมือง Dae Yang Immigration Law Group ในกรุงโซล เกาหลีใต้ มองว่า “นี่อาจเป็นกลยุทธ์การเจรจาเพื่อเพิ่มเม็ดเงินลงทุนเข้าสหรัฐฯ แต่เมื่อพิจารณาเงินทุนดังกล่าว ไม่คิดว่าความต้องการขอวีซ่านี้จากเกาหลีใต้จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” และว่า “เรื่องนี้ต้องขออนุมัติรับรองจากคองเกรส (การผลักดันจาก)ทรัมป์เพียงฝ่ายเดียวไม่สามารถตัดสินใจยกเลิกโครงการ EB-5 ได้ อีกทั้งโครงการวีซ่า EB-5 เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับการลงทุน ดังนั้นการยกเลิกโครงการวีซ่านี้เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล”
ด้านเกรซ ถัง ซีอีโอจากบริษัท Phillip Private Equity ในสิงคโปร์ ซึ่งช่วยเหลือธุรกิจครอบครัวต่าง ๆ สามารถสมัครร่วมโครงการวีซ่านักลงทุน ซึ่งให้สิทธิ์เป็นผู้พำนักถาวรในสิงคโปร์ บอกกับรอยเตอร์ว่า กฎระเบียบด้านภาษีของอเมริกาเป็นอุปสรรคที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังคงเป็นหมุดหมายแห่ง “ความฝันแห่งอเมริกันชน” ซึ่งดึงดูดผู้อพยพเอเชียที่มีศักยภาพมากมาย และชาวจีนจำนวนมากที่คุ้นเคยกับวีซ่า EB-5 มีแนวโน้มที่จะสมัครเข้าร่วมโครงการใหม่นี้
ที่มา: รอยเตอร์
- READ MORE
By thai@voanews.com (Reuters)
Wed, 26 Feb 2025 23:59:01 +0700